ตลาดโลหะลอนดอน หรือ London Metals Exchange (LME) เป็นหนึ่งในตลาดซื้อขายสินทรัพย์โภคภัณฑ์ที่นักลงทุนหลายคนอาจจะไม่คุ้นหูมากนัก ตลาดแห่งนี้มีความน่าสนใจและมีมูลค่ารวมมากกว่าตลาดซื้อขายทองคำ เนื่องจากทองคำคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถูกรวมอยู่ภายใต้ตลาดแห่งนี้ด้วย และถ้าคุณคือนักลงทุนประเภทเก็งกำไร หรือนักลงทุนประเภทป้องกันความเสี่ยง ตลาดแห่งนี้จะช่วยตอบโจทย์เป้าหมายของคุณได้ เพียงทำความรู้จักให้เข้าใจ
ประวัติตลาด LME ตลาดซื้อขายโลหะที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ตลาด LME จัดตั้งขึ้นในปี 1877 ในสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 โดยใช้สถานที่สำหรับการซื้อขายครั้งแรกที่กรุงลอนดอน มีชื่อว่า Royal Exchange โดยในช่วงแรกได้มีจัดการให้ทำการซื้อขายโลหะกันภายในประเทศเท่านั้น แต่ต่อมาประเทศอังกฤษได้กลายเป็นผู้ส่งออกโลหะรายใหญ่ของโลก ดึงดูดให้พ่อค้ารายใหญ่ทั่วยุโรปเข้ามาร่วมทำการค้าขายโลหะที่ลอนดอนด้วย และได้ทำการเปลี่ยนชื่อตลาดซื้อขายใหม่เป็น London Metals and Mining Company
จากนั้นได้ย้ายจากสถานที่เดิมคือบนถนน Whittington มาตั้งอยู่ที่ถนน Leadenhall โดยมีโลหะที่ทำการซื้อขายกัน คือ ดีบุกและทองแดง ต่อมาจึงเริ่มมีสักกะสีและตะกั่ว ส่วนโลหะที่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดต่อจากนั้น คือ อะลูมิเนียม นิกเกิล อะลูมิเนียมอัลลอย พลาสติก เหล็กแท่ง และในปี 2007 ได้รวมเอาทองคำเข้ามาด้วย จึงสามารถแบ่งประเภทโลหะที่ทำการซื้อขายกันในปัจจุบันนี้ได้ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
- กลุ่มโลหะนอกกลุ่มเหล็ก (Non-Ferrous Metals) ประกอบไปด้วย ทองคำ, ทองแดง, สังกะสี, ดีบุก, ตะกั่ว, อะลูมิเนียมอัลลอย และอะลูมิเนียม
- กลุ่มพลาสติก (Plastic) ประกอบไปด้วย เม็ดพลาสติกที่มีความหนาแน่นต่ำ หรือ Linear Low Density Polyethylene (LDPE) และ เม็ดพลาสติก Polypropylene (PP)
- กลุ่มเหล็กแท่ง (Steel Billet)
หลักการซื้อขายโลหะในตลาด LME
ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาตลาด LME กลายเป็นตลาดซื้อขายโลหะนอกกลุ่มเหล็กที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยมากกว่า 2 พันล้านตัน และมีมูลค่าเฉลี่ยมากกว่า 9 พันล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งมูลค่าของตลาดแห่งนี้ยังถูกนำไปใช้อ้างอิงเป็นราคาซื้อขายโลหะนอกกลุ่มเหล็กทั่วโลกถึง 98%
โดยหลักการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาด จะใช้การซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ล่วงหน้า คือ Futures และ Options ซึ่งมีประโยชน์ช่วยจัดการความเสี่ยงด้านราคา (Hedging) ที่จะทำให้นักลงทุนขาดทุนโดยไม่รู้ตัวเมื่อคู่สัญญาทำผิดสัญญา ดังนั้นตลาด LME จึงมีหน่วยงานทางบัญชี (Clearing House) ที่มีหน้าที่เป็นตัวกลางที่จะเป็นคู่สัญญาให้กับผู้ซื้อและผู้ขายในทุก ๆ สัญญาที่เกิดขึ้น และจะมีการกำหนดให้มีการวางเงินประกัน (Margin) เอาไว้บางส่วน ทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
นอกจากนี้ภายในตลาดแห่งนี้ยังมีการควบคุมดูแลจากหน่วยงานต่าง ๆ ถึง 3 หน่วยงานด้วยกัน คือ หน่วยงานด้านความมั่นคงของตลาด (Market Surveillance), หน่วยงานด้านความมั่นคงของสมาชิก (Member Surveillance) และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement) ส่วนภายนอกตลาดยังมีหน่วยงานด้านความมั่นคงทางการเงินและพฤติกรรมของบริษัทที่เป็นสมาชิกภายในตลาด (Financial Service Authority) คอยควบคุมดูแลอยู่ด้วย
ปัจจุบันตลาดซื้อขายโลหะ LME ได้พัฒนาให้มีการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม และได้กลายเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสัญญาซื้อขาย Futures ที่ใช้โลหะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังขยายสินทรัพย์ให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้มากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมดด้วย